วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำนิยมในหนังสือ : ตุ๊กตาไล่ฝน

ตุ๊กตาไล่ฝน" "เรื่องราวเล็กๆที่ซ่อนปนอยู่ในหลืบลึกของแผ่นฟ้าอันมืดมน"
สกุล บุณยทัต

"ชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้เหมือนถูกจัดวางอย่างไร้ระเบียบ บ้างซุกตัวหลบซ่อนอยู่ในเงามืดของวันเวลา บ้างหลบลี้อยู่กับความผันผวนของอารมณ์เร้นลึก และบ้างก็ระเกะระกะอยู่กับจิตสำนึกที่ขาดวิ่น

เกิดอะไรขึ้นกับโลกที่มนุษย์กำลังมีชีวิตอยู่... เหตุเพราะความคิดของมนุษย์ชั่วร้าย หรือเหตุเพราะโลกที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่นั้นโหดร้ายเอากับจิตวิญญาณของมนุษย์กันแน่"

ผมถือเอาคำกล่าวข้างต้นเป็นข้อคำถามเชิงปริศนาสำหรับการตีความและให้ข้อสรุปแก่ชีวิตผ่านนวนิยายของ "ศักดา สาแก้ว"... "ตุ๊กตาไล่ฝน"... นวนิยายที่ชี้ให้เห็นความเป็นชีวิตของเด็กน้อยที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวในครอบครัวและโลกอันสลับซับซ้อนท่ามกลางความยากจนและการทิ้งร้างจากผู้ให้กำเนิด การเผชิญหน้ากับภาวะที่บีบกดจากปัจจัยแวดล้อมในทุกทิศทุกทางกลายเป็นความรู้สึกที่ชัดแจ้ง ซึ่งปรากฏขึ้นในความคิดด้วยความไม่แน่ใจเพียงครั้งเดียว แต่หากกลับติดแน่นอยู่กับก้นบึ้งแห่งความทุกข์ของหัวใจเป็นเวลาเนิ่นนาน

"ตุ๊กตาไล่ฝน" ถือเป็นนวนิยายเชิงสัญญะที่บอกกล่าวถึงนัยความหมายแห่งการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดด้านในให้หลุดพ้นจากการถูกกระหน่ำโบยตี โดยวิกฤติแห่งวิกฤติของชีวิต ภาพสมมติแห่งการคิดฝันทั้งหลายถูกเขียนขึ้นอย่างงดงาม กระจ่างชัดและเข้าใจท่ามกลางเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างมืดดำและไร้ทางออก...ดูเหมือนจะไม่มีความหวังอะไรเหลืออยู่เลยจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น...มันดำเนินไปบนวิถีแห่งความผิดบาปต่อเนื่องกันไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

แต่อย่างไรก็ตาม... "ศักดา สาแก้ว" ก็ได้ใช้เชิงชั้นในการประพันธ์ ผูกเรื่อง และสร้างภาพให้ผู้อ่านได้มองเห็น ภาษาสื่อสารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของการดิ้นรน การแสวงหาทางออกภายในจิตใจ ตลอดจนการพรรณนาให้เป็นบทสรุปอันเป็นปมแห่งทุกข์ในแต่ละช่วงตอนด้วยสำนวนภาษาที่สื่อถึงจินตภาพ และการเล่นแสงเงาในมิติของศิลปะการแสดงที่แบ่งแยกความจริงออกจากมายาคติด้วยความสัมพันธ์และสอดประสานเชิงสำนึกอันทำให้ภาพแต่ละภาพกลายเป็นแบบอย่างทางวรรณกรรมเชิง "สุนทรียภาพ" ที่เน้นให้เราได้เห็นว่า แม้ความทุกข์ในชีวิตจะเป็นเรื่องอันแสนจะโศกเศร้า... และภาวะแห่งการไร้ทางออกจะทำให้ชีวิตของมนุษย์มาถึงจุดตีบตีนสักเพียงใด แต่หากมุมมองของการสร้างสรรค์เป็นไปโดยเข้าใจมูลเหตุอันเป็นเบื้องลึกที่ซ่อนหลืบอยู่ในหัวใจทั้งหมด ภาพสะท้อนนั้นก็จะปรากฏออกมาได้ด้วยสีสันอันชวนให้ใคร่ครวญเสมอ

นี่คือนวนิยายเรื่องหนึ่งที่ฉีกหนีออกไปจากความจำเจดั้งเดิม ทั้งรูปแบบ เนื้อหาและวิธีของการนำเสนอ... มันอาจจะเปรียบได้กับภาพของแสงและเงาที่ตัดสลับให้เราได้เห็นกันอยู่ซ้ำๆกัน... สีขาวดำที่เหลื่อมทับถูกแปลงให้กลายเป็นสีเทารองรับความทุกข์และความสุขสอดสลับกันไปอย่างเป็นมิติ... บางขณะผมคิดว่าผมกำลังนั่งดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ส่งสัญญาณแห่งจังหวะและเวลาให้เข้ากันได้อย่างผสมผสาน เป็นสื่อที่เคลื่อนไหวอยู่ในความเร้นลึกของความรู้สึกที่พร่ามัว

ทุกครั้งที่ผมได้อ่าน "ตุ๊กตาไล่ฝน" ผมมักจะค้นพบความงามในความหมายเชิงการประพันธ์ ที่ "ศักดา สาแก้ว" ได้สร้างขึ้น ได้เห็นภาพลักษณ์ของความทุกข์ ที่ถูกสื่อสารตีความออกมาด้วยจินตภาพอันบริสุทธิ์... ผมถือว่านี่คือจุดเด่นที่สุดในนวนิยายเรื่องนี้ที่ต้องอาศัยทักษะของผู้ประพันธ์เป็น "พลังความหมายอันยิ่งใหญ่"

"ไม่มีใครอยู่รอดได้บนหนทางและสายธารแห่งจิตวิญญาณที่ซ่อนเร้น มันเป็นเรื่องราวเล็กๆที่ซ่อนปมอยู่ในหลืบลึกของแผ่นฟ้าอันมืดมนที่มนุษย์เราทุกคนต้องเรียนรู้ถึงความหมายอันเป็นจุดจบของตนเองโดยลำพังเท่านั้น"

เหตุดังกล่าวนี้ "ตุ๊กตาไล่ฝน" จึงเกิดขึ้นเพื่อขจัดปัดเป่าความทุกข์ให้ออกไปจากหัวใจ... เพื่อขจัดความเศร้าของชีวิต ไม่ให้หลงเหลือไว้แม้เพียงจินตนาการหรือคราบไคลของหยาดน้ำตา ผมปรารถนาให้ทุกท่านได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้เงียบๆ... อ่านเพื่อการมองเห็นและได้สดับตรับฟัง ปรากฏการณ์แห่งโลกและชีวิตผ่านความทุกข์เศร้าขมขื่น ไปสู่ความดีงามของจิตสำนึก ผ่านครอบครัวที่แตกดับไปสู่โลกกว้างที่ไร้ทางออก ทั้งหมดในสิ่งทั้งหมดจะค่อยๆบอกกล่าวถึงวิถีแห่งความอยู่รอดในตัวตนของคนทุกคน ให้ได้ประจักษ์ถึงสัจธรรมแห่งการดำรงอยู่และดำเนินไปทั้งในขณะนี้ และ ณ เบื้องหน้าอย่างแท้จริง เกิดอะไรขึ้นกับโลกที่มนุษย์กำลังมีชีวิตอยู่... เหตุเพราะความคิดของมนุษย์ชั่วร้าย หรือเหตุเพราะโลกที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่นั้นโหดร้ายเอากับจิตวิญญาณของมนุษย์กันแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น